รวบยากูซ่าหนีคดีคอลเซ็นเตอร์กบดานไทยตั้งแต่ปี 56 หลังก่อเหตุตุ๋นเงินเหยื่อที่บ้านเกิดรวม 24 ล้านบาท ขยายผลจับอีกเครือข่ายได้ที่พัทยาอีกล็อต
/////
เมื่อเวลา 10.30น. วันที่ 2 เมษานน ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. พร้อม พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ผบก.ตม.3 สตม. และ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม ผบก.สส.สตม.
ร่วมแถลงการจับกุมนายคาซึยะ ฮาชิโมโตะ อายุ 39 ปี(MR.KAZUYA HASHIMOTO) ผู้ต้องหาหนีหมายจับชาวญี่ปุ่น ที่ก่อคดีในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลอกลวงเหยื่อ ตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งได้ใช้ประเทศไทยเป็นที่กบดาน โดยมีเหยื่อชาวญี่ปุ่นหลายราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2.4 ล้านบาท
โดย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทาง สตม. ได้รับข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยว่า มีคนร้ายสัญชาติญี่ปุ่นที่หลบหนีหมายจับของทางการญี่ปุ่น เข้ามาอาศัยในประเทศไทยโดยปะปนมากับนักท่องเที่ยว ซึ่งทางการญี่ปุ่นได้ติดตามตัวคนร้ายรายนี้ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้า
เมือง(บก.สส.สตม.) สืบหาตัวกระทั่งเมื่อเวลา 19.00น. วันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ตำรวจสามารถจับกุมนายคาซึยะ ได้ภายในซอยเอกมัย 5 ถนนสุขุมวิท 63 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร พร้อมแจ้งข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อ จากการสอบสวนนายคาซึยะ รับว่า ตนเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลเมืองนารา ประเทศญี่ปุ่นในฐานความผิดฉ้อโกงจริง ซึ่งได้ร่วมกันกับพวกสมาชิกแก๊งยากูซ่าอีก 6 ราย ก่อเหตุหลอกลวงหญิงชรา อายุ 75 ปี ที่จังหวัดนารา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ปี 2556 โดยนายคาซึยะ จะทำหน้าที่โทรศัพท์ไปที่บ้านผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นเจ้า
หน้าที่ตำรวจ และขู่ว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหายมีธุรกรรมทางการเงินที่น่าสงสัยและผิดกฎหมาย จึงต้องถูกตรวจสอบ แต่คนร้ายอ้างว่ายังมีทางช่วยเหลือได้ โดยต้องถอนเงินในบัญชีทั้งหมดไปฝากกับบัญชีพิเศษของสมาคมธนาคารที่ไม่มีอยู่จริง โดยให้ถอนเงินสดออกมาเตรียมไว้ และเจ้าหน้าที่ของสมาคมธนาคารจะไปรับเงินสดที่บ้านผู้เสียหายเพื่อนำไปเข้าบัญชีพิเศษ
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ต่อมา นายคาซึยะ จะไปที่บ้านของผู้เสียหาย เพื่อรับเงิน 8 ล้านเยน หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท ก่อนจะหลบหนีไป
นอกจากนี้จากการสอบสวนผู้ต้องหาพบหลักฐานว่า มีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆ ในรูปแบบเดียวกันอีก 4 คดี รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 28 ล้านเยน หรือประมาณ 8 ล้านบาท โดยตัวสั่งการเป็นชาวจีนสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้ได้หลบหนีไปยังประเทศเวียดนาม โดยยังอยู่ระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ขยายผลจับกุมผู้ต้องหาขบวนการคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่นอีกกลุ่มหนึ่งได้ 15 ราย ที่ อ.พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งคาดว่าภายในไม่เกิน 3 วันนี้ จะจะได้ตัวผู้เกี่ยวข้องมาอีก 3-4 ราย สำหรับผู้ต้องหาในขณะนี้ จะเร่งดำเนินการส่งตัวกลับประเทศภายใน 2-3
สัปดาห์ต่อไป โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการไล่ทรัพย์สินมาคืนผู้เสียหายอีกทาง ทั้งนี้ หากประชาชนพบเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน สตม. 1178