ยุทธการ “ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” ครั้งที่ 10 ตลาดสำเพ็ง
วันที่ 5 เม.ย.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในตลาดสำเพ็ง กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 จุด
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร. และศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์และระงับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการกระทำผิดอื่นๆ ออนไลน์ ขึ้น โดยมุ่งเน้นการป้องกันปราบปรามการอาชญากรรมที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ และการละเมิด
ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นมากในปัจจุบัน โดยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานความร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ
โทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในตลาดสำเพ็ง กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 จุด
สำหรับยุทธการ “ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” ในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการผู้เสียหายได้เข้าร้องเรียนที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์และระงับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการกระทำผิดอื่นๆ ออนไลน์ จากการสืบสวนพบอีกว่าผู้กระทำความผิดในครั้งนี้ มีการจำหน่ายสินค้า
เครื่องสำอางค์ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่ร้านเจ้ฉันและร้านโชคดี ตลาดสำเพ็ง และยังพบการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้กระทำผิดกลุ่มนี้ทางสื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างเฟสบุ้คอีกด้วย
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2562 เวลาประมาณ 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในตลาดสำเพ็ง กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 จุด ผลการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ จำนวน 2 ราย คือ น.ส.พัชรินทร์ แก้วยอดคง ผู้ดูแลจัดการร้านเจ้ฉัน และน.ส.พรสุดา นครังสุ ผู้ดูแลจัดการร้านโชคดี ในข้อหา
“จำหน่ายหรือเสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร” และได้ตรวจยึดสินค้าเครื่องสำอางละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมจำนวนกว่า 7,000 รายการ มูลค่าความเสียหายประมาณ 7,000,000บาท
สำหรับยุทธการ “ปราบปรามละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” ในครั้งนี้ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความจริงจังในการปราบปราม ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการขยายผลไปยังแหล่งผลิต หรือผู้ที่นำเข้า จะดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ฝากไปยังผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายสินค้าที่ละเมิด
ทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพ ต่างจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ ๆ หรือการประกาศขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม หากยังดำเนินอยู่ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดีขยายผลถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์ จากความผิดมูลฐานตาม
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (13) และมีอัตราโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยหมดไป